Friday, 26 April 2024 | 1:00 am
spot_img
Friday, 26 April 2024 | 1:00 am
spot_img

5 จุดบอดประกันโควิด ที่อาจทำให้บริษัทประกันเสี่ยงขาดทุน

จุดขาดทุนที่ 1 (บทเรียนจากน้ำท่วม VS นโยบายภาครัฐ) บทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่เป็นเหตุการณ์ที่พิสูจน์ให้รู้ว่าปัจจัยภายนอกจากการจัดการบริหารนั้นไม่สามารถใช้สถิติมาจับได้
ตัวอย่างสมมุติสำหรับเคสโควิดเลย เช่น มีการ lockdown กันช้าเกินไปหรือมีกลุ่มคนต่อต้านการกักตัวเองขึ้นมา ทำให้มีการติดเชื้อกันมากเหมือนอิตาลี เป็นต้น โดยสถานการณ์ต่าง ๆ นั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบจึงอยากจะให้มองในมุมที่ว่าโอกาสในการติดเชื้อนั้นอาจจะเป็นได้ตั้งแต่ 1% ไปจนถึง 80% ในชั่วข้ามคืนจากนโยบายการจัดการได้ทุกเมื่อ
ต้นทุนการเคลมของแบบประกันตัวนี้จึงไปผูกติดกับประสิทธิภาพการจัดการของรัฐบาลเสียมากกว่า ในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้าที่ประกันโควิด-19ยังคุ้มครองอยู่อาจจะมีคนไทยติดเชื้อทั้งหมดกันแค่ไม่เกิน 2 หมื่นคน หรืออาจจะพุ่งสูงขึ้นเป็น 10 ล้านคนก็ได้ ถ้าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไม่สามารถจัดการควบคุมการติดต่อของโรคระบาดกันได้ดีพอ
จุดขาดทุนที่ 2 (เจอปุ๊บจ่ายปั๊บ VS ในวันที่โควิด-19 กลายเป็นแค่ไข้หวัดใหญ่ธรรมดา) สมมุติถ้ามีการคิดค้นยาที่รักษาไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นสำเร็จ ไวรัสชนิดนี้จึงเป็นเพียงแค่ไข้หวัดใหญ่ธรรมดาไม่มีใครกลัวโควิด-19 อีกต่อไป ถึงจุดนั้นกลุ่มคนที่ซื้อประกันชนิดที่คุ้มครองแบบที่เจอปุ๊บจ่ายปั๊บก็คงยิ้มกันเป็นแถวหากติดเชื้อไปก็ไม่เป็นไร โดยเฉพาะคนที่กักตุนซื้อหลาย ๆ กรมธรรม์เอาไว้ถึงจะไม่จงใจให้ไปติดแต่ก็จะไม่ระวังตัวอีกต่อไป จุดนี้ที่บริษัทประกันลืมคิดถึงการ over insure ของลูกค้าไปตั้งแต่ตอนพิจารณารับประกันภัย และมองว่าถึงอย่างไรลูกค้าก็คงจะระวังตัวเองไม่ให้ติดเชื้ออยู่แล้ว สรุปว่าถ้าลูกค้าทำหลาย ๆ กรมธรรม์พร้อมกันประกอบกับความรุนแรงของโควิค-19 มันหายไปเมื่อไรมันจะเป็นเหตุการณ์ที่บริษัทประกันจะขาดทุนมากมาย
จุดขาดทุนที่ 3 (เงินชดเชยต่อวันได้เงินมากกว่าค่าจ้างรายวัน) ประกันโควิด-19 บางแบบจะจ่ายค่าชดเชยรายได้ที่ขาดหายไปจากการสูญเสียรายได้ในชีวิตประจำวันไปเมื่อนอนโรงพยายาลให้ด้วย เมื่อลองนึกภาพของวิกฤตเศรษฐกิจที่มีการตกงานกันมาก รายได้ประจำวันลดลงจากเดิมไปมาก ถ้าเกิดติดเชื้อขึ้นมาการเข้าโรงพยาบาล แต่ละครั้งก็คงอยากจะอยู่ให้นานที่สุด จากที่ปกติอยู่แค่ 10 วันก็อาจจะยืดขึ้นไปเป็น 15 วันเพราะค่าชดเชยจากประกันจะมากกว่ารายได้ปกติโดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ จุดนี้เป็นจุดที่บริษัทประกันอาจจะลืมมองไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพวกที่ over insure ยิ่งซื้อประกันโควิด-19 กันหลายฉบับ ก็ยิ่งได้รับค่าชดเชยรายได้ต่อวันที่สูงมากจนบางคนแทบไม่อยากไปทำงานเลย เหตุการณ์ขาดทุนอย่างนี้เกิดได้บ่อยถ้าบริษัทประกันรีบขายจนเกินไป และไม่ได้พิจารณาการรับประกันภัยให้ดีก่อน
จุดขาดทุนที่ 4 (เบี้ยทุกอายุเฉลี่ยแต่ต้นทุนไม่เฉลี่ย) เบี้ยประกันภัยเฉลี่ยเท่ากันทุกช่วงอายุ แต่ความจริงแล้วปัจจัยต้นทุนของการเคลมจะดูที่ “อัตราการติดเชื้อ” กับ “ความรุนแรงที่เกิดขึ้นหลังจากการติดเชื้อ” ซึ่งทั้งสองปัจจัยจะแตกต่างกันตามแต่ละช่วงอายุ ดังนั้นบริษัทประกันภัยที่คุ้มครองผู้สูงอายุที่สูงกว่า 70 ปีโดยที่คิดเบี้ยประกันเท่ากันทุกช่วงอายุนั้นจะถือว่าเสี่ยงกว่าบริษัทอื่นมาก โดยเฉพาะบางแห่งที่ขายประกันโควิด-19 ให้กับทุกอายุแต่คิดเบี้ยประกันของผู้สูงอายุเท่ากับอายุอื่น ๆ โดยตั้งสมมุติฐานว่าทุกอายุจะเข้ามาซื้อประกันในสัดส่วนพอ ๆ กัน
แต่สุดท้ายแล้วคนที่ซื้อประกันโควิด-19 ส่วนมากก็คือคนสูงอายุ และเมื่อต้นทุนของผู้สูงอายุเยอะกว่า ก็จะทำให้บริษัทประกันมีโอกาสขาดทุนได้ ยกตัวอย่างเช่น สมมุติเรามีสินค้า 3 ชิ้น ต้นทุนชิ้นแรก 5 บาท ชิ้นที่สอง 10 บาท ชิ้นที่สาม 15 บาท ถ้าเราคิดว่าจะขายจำนวนชิ้นได้เท่า ๆ กันก็หมายถึงต้นทุนต่อชิ้นเฉลี่ยตรงกลางเท่ากับ 10 บาท (5 + 10 + 15 หารด้วย 3) ก็เลยตั้งราคาขายไว้ที่ 12 บาท (กะว่าจะได้กำไร 2 บาท) แต่ตอนขายจริง ๆ กลับมีแต่สินค้าชิ้นที่สามที่ขายออก ต้นทุน 15 บาท ราคาขาย 12 บาท (แปลว่าขาดทุน 3 บาทซะอย่างนั้น) และบริษัทประกันอาจจะเจอกับปัญหานี้อยู่ เพราะไปตั้งเป็นเบี้ยเฉลี่ยเท่ากันหมด
จุดขาดทุนที่ 5 (สถิติเสียชีวิตจากโรคระบาดใหญ่ในทุก 100 ปี กับวิวัฒนาการของไวรัส) จากสถิติที่อ้างอิงประวัติศาสตร์ในทุก 100 ปี จะมีการแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัส 1 ครั้งที่จะทำให้ทุกคนทั้งโลกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งครั้งล่าสุด คือ ไข้หวัดสเปน ปี ค.ศ. 1918 (เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้วพอดี) โดยในตอนนั้นมีคนเสียชีวิตประมาณ 50 ล้านคน ไวรัสได้มีการวิวัฒนาการและแบ่งออกเป็นระลอกคลื่น เช่น คลื่นลูกที่หนึ่ง สามารถติดต่อกันง่ายดาย คนที่ติดในระลอกแรกนั้นจะไม่เป็นอันตรายถึงตายหรืออัตราการตายจะไม่สูง แต่พอเปลี่ยนเป็นคลื่นลูกที่สอง ความรุนแรงเพิ่มพูนขึ้นจนสามารถทำให้คนตายเป็นจำนวนมากแต่คนที่มีภูมิคุ้มกันจากคลื่นลูกแรกนั้นกลับจะมีโอกาสติดเชื้อได้น้อยกว่า และสุดท้ายก็เข้าสู่คลื่นลูกที่สาม ที่ไวรัสสามารถกลายพันธุ์ไปติดเด็กได้ง่ายมากขึ้นและทำให้คนตายมากขึ้นไปอีก
ซึ่งตอนนี้เราอาจจะอยู่กันเพียงแค่คลื่นลูกที่หนึ่งเองก็ได้ และไวรัสกำลังซุ่มเงียบเพื่อแอบกลายพันธุ์อยู่พร้อมรอที่จะเป็นคลื่นลูกที่สองและสามในไม่ช้า (ซึ่งก็ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เป็นแบบนั้นเลย)

spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img
spot_img

ข่าวล่าสุด

บริษัท ไม่ลองไม่รู้ จำกัด เลขที่ 108/240 หมู่ที่ 2 หมู่บ้านพฤกษาวิลล์56 ตำบลบางเตย อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม 73210

E-Mail : anchaliphon.k@gmail.com

T. 081-666-6822

จำนวนผู้เข้าชม : 979,060

©2020-2022 www.worldbusiness-th.com