ครึ่งแรกปี 64 กรุงเทพประกันภัยกวาดเบี้ยประกันภัยรับรวม 11,997.4 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 7.8 กำไรสุทธิ 1,710.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 สำหรับไตรมาส 2 คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติงดจ่ายเงินปันผลผู้ถือหุ้นตามที่ คปภ.ขอความร่วมมือ ยืนยันฐานะทางการเงินมีความมั่นคงแข็งแกร่ง ด้วยการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี และมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนสูงกว่าอัตราขั้นต่ำที่กำหนด
ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ BKI เผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 (เม.ย.-มิ.ย.) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 5,840.2 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 กำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนทางการเงินแล้ว 694.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.0 รายได้สุทธิจากการลงทุน 371.4 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28.6 กำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,066.1 ล้านบาท และเมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 893.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.1 กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 8.40 บาท
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนของปี 2564 (ม.ค.-มิ.ย.) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 11,997.4 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 มีกำไรสุทธิจากการรับประกันภัยหลังหักค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานแล้ว 1,137.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.3 มีรายได้สุทธิจากการลงทุน 857.8ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.5 มีกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 1,995.1 ล้านบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้แล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,710.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 16.06 บาท
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 มีมติงดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2564 แก่ผู้ถือหุ้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันวินาศภัย (คปภ.) ได้ขอความร่วมมือมายังบริษัทประกันวินาศภัยให้งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานในปี 2564 เพื่อเตรียมรับมือกับความเสี่ยงอันเนื่องมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ขอให้ความมั่นใจแก่ผู้ถือหุ้น แม้บริษัทฯ จะไม่ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการในไตรมาสนี้ บริษัทฯ จะนำเงินกำไรที่จะต้องจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปรวมสมทบจ่ายกับเงินปันผลประจำปีแก่ผู้ถือหุ้นต่อไป ซึ่งบริษัทฯ ยังคงยืนยันในความมั่นคงแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน โดยมีการบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นอย่างดี และมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนสูงกว่าอัตราขั้นต่ำตามที่สำนักงาน คปภ. กำหนด และในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัทฯ ยังคงมีกำไรจากผลประกอบการเพียงพอที่จะจ่ายเงินปันผลได้เช่นเดิม