หลายคนคงเคยได้อ่านข่าวเกี่ยวกับมาตรฐานรายงานทางการเงิน TFRS9 และมีความเข้าใจผิดคิดว่าจะมีผลกระทบกับพวกสถาบันการเงินเพียงอย่างเดียว เพราะคุ้นเคยแต่คำว่า NPL (nonperforming loan) หรือหนี้เน่าเท่านั้นซึ่งปกติก็ต้องคำนวณการตั้งสำรองเผื่อหนี้เน่าพวกนี้อย่างจริงจังกันไป
ผมจึงอยากเขียนในมุมของผลกระทบกับกิจการอื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินบ้าง ซึ่งมาตรฐานบัญชีตัวนี้บังคับใช้กับทุกกิจการที่มีส่วนได้ส่วนเสียสาธารณะ (PAEs : publicly accountable entities) แปลว่า บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งหมดรวมถึงบริษัทในเครือก็ต้องคำนวณด้วยเช่นกัน
TFRS9 สำคัญแค่ไหนกับบริษัททั่วไปในตลาดหลักทรัพย์ฯ
มาตรฐานบัญชี TFRS9 นี้สำคัญกับทุกกิจการเพราะเป็นมาตรฐานเกี่ยวกับการประเมินเครื่องมือทางการเงินที่บริษัทถือเอาไว้อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งสำรองการขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (หรือจะเรียกว่า “สำรองการโดนเบี้ยวหนี้” ก็ว่าได้) นั่นก็หมายความว่าอะไรก็ตามที่บริษัทมีสถานะเป็นเจ้าหนี้บริษัทจะต้องตั้งสำรองเผื่อการโดนเบี้ยวหนี้เอาไว้ด้วย
เพราะการที่บริษัทเป็นเจ้าหนี้บริษัทก็จะมีการรับรู้รายได้ไว้ล่วงหน้า ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้รับเงินสดจริง ๆ และถ้าไม่ได้ตั้งสำรองตัวนี้เอาไว้ให้เหมาะสมก็แปลว่า บริษัทรับรู้รายได้เกินความเป็นจริงไปนั่นเอง !
สรุปคือ “อะไรก็ตามที่รับรู้เป็นรายได้มาก่อนแล้วค่อยไปมีการสูญเสียในทีหลัง ก็ควรจะต้องตั้งเป็นเงินสำรองไว้ตอนนี้”
จะดูได้อย่างไรว่าบริษัทมีสถานะเป็นเจ้าหนี้
การเป็นเจ้าหนี้ แปลว่า เจ้าหนี้จะมีการระบุจำนวนเงินที่ลูกหนี้ต้องจ่ายเป็นจำนวนเท่าไรไว้อย่างชัดเจน มีระบุวันครบกำหนดชำระ (due date) ว่าต้องจ่ายเมื่อไร โดยปกติทางบัญชีแล้วบริษัทจะรับรู้ว่าเป็นรายได้ไปก่อนเรียบร้อยแล้วซึ่งจะได้เงินสดจริงหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทวงเงินสดกันไป
เพราะเมื่อเลยวันครบกำหนดชำระไประยะเวลาหนึ่ง เราก็ต้องมาดูกันว่าสรุปแล้วจะทวงหนี้รายนี้ได้หรือไม่ถ้าทวงได้ก็ถือว่ายังไม่โดนเบี้ยวหนี้แต่ถ้าทวงไม่ได้มันก็กลายเป็นหนี้เน่าที่ทวงไม่ได้
บริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินต้องพิจารณาถึงเครื่องมือทางการเงินอะไรบ้าง
ไม่ว่าจะค้าขายอะไรก็ตามอย่างแรกเลยก็คือ “ลูกหนี้การค้า” ที่ปกติแล้วบริษัทจะมีการออกใบแจ้งหนี้และมีวันครบกำหนดชำระให้กับลูกค้า ซึ่งถึงแม้ว่าประวัติของลูกค้าทุกคนจะไม่เคยเบี้ยวหนี้ก็ตามแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีโอกาสเบี้ยวหนี้ ถ้าสภาวะเศรษฐกิจหรือปัจจัยภายนอกเกิดความผันผวนขึ้นมามันก็ไม่แน่ที่ลูกค้าจะเบี้ยวหนี้ได้ เครื่องมือทางการเงิน TFRS9 อื่น ๆ ที่คล้าย ๆ กับลูกหนี้การค้าก็จะมีเงินทดรองจ่าย เงินประกันผลงาน เงินที่รับรู้รายได้ล่วงหน้าตามความคืบหน้าของผลงาน เป็นต้น
กลุ่มที่สอง คือ พวกเงินที่ให้กู้ยืมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่บริษัทไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซื้อพันธบัตรเอกสาร ซื้อหุ้นกู้ หรือซื้อตั๋วเงิน รวมไปถึงการให้เงินกู้ยืมระหว่างบริษัท เป็นต้น
หลักการของการตั้งสำรอง TFRS9
บริษัทจะต้องเก็บสถิติของการชำระหนี้ของลูกค้าย้อนหลังมาให้ได้มากที่สุด ซึ่งควรจะได้อย่างน้อย 36 เดือนย้อนหลังมาเพื่อ track ข้อมูลย้อนหลังว่าลูกหนี้แต่ละสัญญามีพฤติกรรมอย่างไร เริ่มทยอยจ่ายเงินในช่วงไหน และนำมาปรับแต่งทางสถิติและจัดกลุ่มลูกหนี้เพื่อที่จะให้ได้ชุดข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุด จากนั้นก็จะนำข้อมูลเหล่านี้ไปพลอตทำสถิติเพื่อที่จะประเมินอนาคตไปข้างหน้าว่าแต่ละกลุ่มมีโอกาสเบี้ยวหนี้เท่าไร เรียกว่า default rate (ความน่าจะเป็นในการโดนเบี้ยวหนี้) และนำมาหาพฤติกรรมในการทวงหนี้ได้คืนจนได้สิ่งที่เรียกว่า recovery rate (ความน่าจะเป็นในการทวงหนี้ได้คืน) แล้วค่อยนำมาตั้งเป็นสมมุติฐานในการคำนวณขึ้น
สมมุติฐานที่ตั้งขึ้นมานั้นต้องนึกอยู่เสมอว่าอดีตไม่ได้เป็นตัวจำลองอนาคตเสมอไป จึงต้องนำปัจจัยภายนอกมาพิจารณาด้วยไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน หรือการเปลี่ยนแปลงของ GDP ก็มีสิทธิทำให้พฤติกรรมของลูกหนี้เปลี่ยนไปได้ในมาตรฐานเรียกว่า forward looking view
สรุปคือ การตั้งสำรองการโดนเบี้ยวหนี้จาก TFRS9 นั้นเป็นการนำสถิติในอดีตมาจำลองอนาคตถึงความเป็นไปได้ที่จะโดนเบี้ยวหนี้ในกิจกรรมอะไรก็ตามที่บริษัทมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ เพื่อให้งบการเงินมีความเหมาะสมและสะท้อนภาพความเป็นจริงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับยุคเศรษฐกิจที่เป็นทั้งขาลงและยังผันผวนอีกด้วยครับ